โรคไวรัสตับอักเสบบี: ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้
โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ตับ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (ระยะสั้น) และแบบเรื้อรัง (ระยะยาว) การติดเชื้อเรื้อรังเป็น “ภัยเงียบ” ที่น่ากลัว เพราะมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่สามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และอาจเสียชีวิตได้
ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ น้ำคัดหลั่งจากช่องคลอด และสารน้ำอื่นๆ ในร่างกายที่มีเชื้อไวรัส โดยช่องทางการติดต่อหลัก ได้แก่:
1. จากแม่สู่ลูก: เป็นช่องทางที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคลอด ซึ่งกว่า 90% ของทารกที่ติดเชื้อจะกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง
2. เพศสัมพันธ์: การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
3. การสัมผัสเลือด: การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก การเจาะตามร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน
อาการเป็นอย่างไร?
• ไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีไข้ต่ำๆ ปวดท้องเล็กน้อย และบางรายมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม (ดีซ่าน) ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 6 เดือน
• ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง: มักไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายคนไม่รู้ตัว การตรวจพบมักเกิดจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือเมื่อเริ่มมีภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับแล้ว
การป้องกันที่ดีที่สุดคืออะไร?
คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
• แนะนำให้ฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิดและให้ครบตามกำหนด
• ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนและยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรรับการฉีดวัคซีนให้ครบ
• การป้องกันการติดเชื้อผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น ก็มีความสำคัญ
ความรู้ทางการแพทย์และการรักษา (20%)
การวินิจฉัยและการติดตามผล
การวินิจฉัยทำได้ด้วยการตรวจเลือด โดยดูจากเครื่องหมายทางซีรั่มวิทยา (Serological Markers) ที่สำคัญคือ HBsAg (Hepatitis B Surface Antigen) เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อ (ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง) และ HBeAg (Hepatitis B e Antigen) เพื่อประเมินระดับการแบ่งตัวของไวรัส
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเรื้อรังไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสทุกคน แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่:
1. ระดับเอนไซม์ตับ (ALT/AST): แสดงถึงการอักเสบของตับ
2. ปริมาณไวรัสในเลือด (HBV DNA): ระดับที่สูงบ่งชี้ถึงการแบ่งตัวของไวรัส
3. ความรุนแรงของโรคตับ: ประเมินจากภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) หรือพังผืดในตับ (Fibrosis)
แนวทางการรักษา
เป้าหมายหลักของการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังคือ การลดการแบ่งตัวของไวรัส (HBV DNA) และลดการอักเสบของตับ เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ
ยาที่ใช้ในการรักษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก:
1. ยาในกลุ่มภูมิคุ้มกัน (Immune Modulators):
• Pegylated Interferon (Peg-IFN \alpha-2a): เป็นยาฉีด มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและยับยั้งไวรัส มักใช้ในผู้ป่วยอายุน้อยและไม่มีภาวะตับแข็ง ข้อดีคือใช้ระยะเวลาการรักษาสั้นกว่า (6-12 เดือน) แต่มีผลข้างเคียงสูงกว่า
2. ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน (Oral Antivirals – NAs):
• ยาหลักที่ใช้ในปัจจุบัน เช่น Entecavir และ Tenofovir (TDF, TAF): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งไวรัส โอกาสดื้อยาน้อย และมีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้
• ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องเริ่มการรักษาด้วยยากลุ่มนี้ มักจะต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (อาจตลอดชีวิต) เพื่อควบคุมเชื้อไวรัส เนื่องจากยาในปัจจุบันยังไม่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ แต่สามารถลดความเสียหายต่อตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
การติดตามและการดูแลตนเอง
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังทุกคนควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจเอนไซม์ตับ ปริมาณไวรัส และตรวจคัดกรองมะเร็งตับด้วยอัลตราซาวนด์ตับ (Ultrasound) ร่วมกับการตรวจเลือด AFP (Alpha-Fetoprotein)
ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วย:
• งดแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาชุด ยาสมุนไพรที่ไม่ทราบส่วนประกอบ ซึ่งอาจเป็นพิษต่อตับ
• รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามหยุดยาเอง
• รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน
การรับรู้ถึงความเสี่ยง การตรวจคัดกรอง การป้องกันด้วยวัคซีน และการเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นกุญแจสำคัญในการลดอันตรายจากโรคไวรัสตับอักเสบบี